ดูหนัง The Terminal (2004) ด้วยรักและมิตรภาพ เต็มเรื่อง การสำรวจเพิ่ม: แรงจูงใจในชีวิตจริง: “The Terminal” ได้รับแรงจูงใจจากเรื่องราวในชีวิตจริงของ Mehran Karimi Nasseri ผู้หลบภัยชาวประเทศอิหร่านที่อาศัยอยู่ในตึกผู้โดยสาร 1 ของท่าอากาศยาน Charles de Gaulle ในกรุงปารีสตรงเวลาแทบ 18 ปี แรงผลักดันในชีวิตจริงนี้ช่วยเพิ่มความลึกแล้วก็ความสมจริงสมจังให้กับสถานที่ของภาพยนตร์
ความร่วมแรงร่วมใจระหว่างสปีลเบิร์กและก็แฮงค์ส: “The Terminal” ถือได้ว่าเป็นการร่วมงานกันครั้งลำดับที่สามระหว่างผู้กำกับสตีเวน สปีลเบิร์กแล้วก็ผู้แสดงทอม แฮงค์ส ต่อจาก “Saving Private Ryan” (1998) แล้วก็ “Catch Me If You Can” (2002) ความร่วมแรงร่วมใจของพวกเขาได้รับการเชิดชูสำหรับเพื่อการพรีเซนเทชั่นเรื่องราวที่น่าดึงดูดแล้วก็สะท้อนอารมณ์ได้โดยตลอด
Airports as Microcosms: ภาพยนตร์ประเด็นนี้ใช้ท่าอากาศยานเป็นพื้นพิภพเล็กๆของสังคม ที่ซึ่งผู้คนจากภูมิหลังรวมทั้งวิถีชีวิตที่ต่างกันมารวมตัวกัน โดยพรีเซ็นท์ความสัมพันธ์แล้วก็การเชื่อมต่อที่มากมายซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ชั่วครั้งคราวดังที่กล่าวมาแล้ว
ปัญหาด้านภาษา: วิชาความรู้ภาษาอังกฤษที่จำกัดของ Viktor และก็ความท้าที่เขาพบเจอสำหรับเพื่อการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นมีหน้าที่สำคัญในรูปภาพยนตร์ประเด็นนี้ โดยเน้นย้ำถึงจุดสำคัญของการติดต่อสื่อสารที่มีคุณภาพ และก็แนวทางเอาชนะปัญหาด้วยความทรหดอดทนแล้วก็ความรู้ความเข้าใจ
พลวัตของข้าราชการท่าอากาศยาน: ภาพยนตร์ประเด็นนี้ตรวจสอบพลวัตแล้วก็ความสนิทสนมกันระหว่างข้าราชการท่าอากาศยาน โดยให้ความแน่ชัดเกี่ยวกับหน้าที่และก็ความเกี่ยวพันของผู้ทำงานเบื้องหน้าเบื้องหลังเพื่อท่าอากาศยานดำเนินไปได้อย่างง่ายดาย
ดูหนัง The Terminal (2004) ด้วยรักและมิตรภาพ เต็มเรื่อง
โดยสรุป “The Terminal” (2004) – “ด้วยรักแล้วก็มิตรภาพ” – ยังคงได้รับการเฉลิมฉลองสำหรับเพื่อการเล่าที่ประทับใจรวมทั้งยกฐานะ การแสดงที่สะดุดตา และก็การเล่าเรื่องถึงความยืดหยุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ รวมทั้งพลังที่จิตวิญญาณของผู้คน สถานที่อันเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์หัวข้อนี้ซึ่งได้รับแรงดลใจจากสถานะการณ์ในชีวิตจริง
พรีเซ็นท์มุมมองใหม่เกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้คนรวมทั้งความรู้ความเข้าใจอันน่าทึ่งของแต่ละบุคคลสำหรับการค้นหาความคาดหมายแล้วก็มิตรภาพถึงแม้ในสถานที่ที่ไม่คาดคิดที่สุด ยังคงเป็นหลักฐานถึงความน่าดึงดูดใจของเรื่องราวที่ฉลองความรัก มิตรภาพ แล้วก็ชัยของจิตวิญญาณมนุษย์
ระยะนี้เป็นช่วงๆที่เหตุการณ์โควิด-19 imi1688 ยังคงแพร่ระบาดอยู่ The Terminal ด้วยรักรวมทั้งมิตรภาพ เป็นหนังเก่าที่มีคุณค่าแก่การรับดูทุกยุคจริงๆให้มุมมองแล้วก็ข้อคิดเตือนใจที่ดีกับการใช้ชีวิตได้ดิบได้ดี จำเป็นต้องขอสรรเสริญคนที่เป็นนักเขียนบทและก็ผู้กำกับรวมทั้งผู้แสดง ที่ประดิษฐ์ผลงานที่สุดยอดให้พวกเราได้รับดู แอดไม่นก็เลยเสนอเอาหนังหัวข้อนี้ขึ้นมารีวิวหนังปี 2021 ที่กับสมัยแล้วก็เหตุการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง สำหรับวันนี้แอดไม่นจะต้องขอตัวลาไปก่อนแล้วเจอกันใหม่กับการรีวิวหนังบันเทิงใจๆที่น่าจำเรื่องถัดไป
สิ่งแรกที่จะต้องเอ่ยถึงเป็นตัวเอกอย่าง ริกเตอร์ ที่แสดงนำโดยทอม แฮงค์ เขาเป็นคนซื่อๆแม้กระนั้นมีฝีมืออย่างยิ่ง พวกเราจะได้ดูวิธีการนำมาใช้ชีวิตและก็การเอาชีวิตรอดต่างๆไม่ว่าจะเป็นการหารายได้ การนอน จนถึงทำให้คนอีกจำนวนไม่น้อยบางทีอาจจะหลงเสน่ห์เพศชายคนนี้ราวกับผม… นับว่าเป็นอีกประเด็นที่พ่อทอม แฮงค์ แสดงได้ดิบได้ดีอย่างมาก บางทีอาจจะไม่ทำกับ Forrest Gump แม้กระนั้นก็ทำให้พวกเรายิ้มที่มุมปากตลอดระยะเวลา เพียงแค่มองการแสดงของทอม แฮงค์ก็คุ้มกับในตอนที่เสียไปแล้ว
ดูหนัง The Terminal (2004) ด้วยรักและมิตรภาพ เต็มเรื่อง ขอเอ๋ยถึงอีกหนึ่งนักแสดงเป็น สาวแอร์โฮสเตสแสนงาม ที่เล่นบทโดย แคคุณรีน ซีต้า โจนส์ งามน่าหลงใหลซึ่งบทเขาบางครั้งก็อาจจะไม่มากมายเท่าเพื่อนพ้องดารานำชายคนอื่นๆ แม้กระนั้นจำต้องกล่าวว่าเป็นตัวละครที่สำคัญจริงๆสำคัญจนถึงต้องการจะกระโจนถีบหน้า ถึงหนังจะให้พวกเรามองเห็นอารมณ์ฟิวกู๊ดแต่ว่ามันก็แอบแฝงไปด้วยเรื่องน่าสลดใจ กระทั่งทำให้หลายๆอย่างไปไม่สุดสักเท่าไหร่
บทภาพยนตร์ยังมีช่องโหว่กับการไม่มีเหตุผลอยู่น้อย (เขียนบทโดย Sacha Gervasi ,Jeff Nathanson) แม้กระนั้นการที่มันเป็นหนังฟิวกู๊ดพวกเราก็เลยละเลยนั่นไปได้เลย เพราะว่าบรรยากาศสุดแสนจะอบอุ่นจนกระทั่งทำให้ท่านหุบยิ้มมิได้ บวกกับฉากฮาๆที่เรียกเสียงหัวเราะไม่มากมายก็น้อย หนังมีความยาวโดยประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที การเดินเรื่องเลยบางครั้งก็อาจจะปูช้าไปนิดเดียว
THE TERMINAL เป็นภาพยนตร์ที่กล่าวถึงรายละเอียด
ของชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่าวิคเตอร์ ผู้ชายวัยกลางคนปกติทั่วๆไปที่มาจากประเทศค้างวัวเชีย ประเทศแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางยุโรปซึ่งกำลังเจอกับปัญญาสงครามกลางเมือง
แต่ว่าโน่นไม่ใช่ข้อความสำคัญที่ทำให้เขาตกลงใจเดินทางลัดฟ้ามายังเมืองนิวยอร์ก อเมริกาอะไร ด้วยเหตุว่าเขานั้นปรารถนาที่จะเอาอย่างข้อตกลงที่ให้ไว้กับบิดาผู้เสียชีวิตของเขาต่างหาก เขาสามารถลงจากเรือบินได้อย่างความสะดวกแม้กระนั้นเวลานี้กับเกิดเหตุปฏิรูปขึ้นในบ้านกำเนิดของเขา แม้กระนั้นเรื่องก็ยังไม่เลวร้ายพอๆกับที่สหรัฐฯได้มีการประกาศยกเลิกหนังสือเดินทางของคนภายในประเทศของเขาทั้งผอง
ทำให้เขานั้นมองเห็นอเมริกาอยู่เพียงแต่กระจกกันแต่ว่าไม่สามารถที่จะออกมาจากท่าอากาศยานได้ ในเวลาเดียวกันเองเขาก็ไม่อาจจะขึ้นเครื่องกลับไปประเทศของตนได้อย่างเดียวกันเพราะว่าความไม่มั่นคงด้านการเมือง ดังนี้เขาก็เลยจำต้องติดแหตระหนี่อยู่ในท่าอากาศยานข้างในตึกผู้โดยสารที่กำลังรอคอยแปลงเครื่อง ซึ่งเป็นหลักที่เดียวที่เขาสามารถอาศัยอยู่ได้ในอเมริกาโดยไม่ผิดกฎหมาย
ส่วนที่จำเป็นต้องดูมากมายๆเป็นการแสดงของ พี่ Tom Hanks ที่ถ้าเกิดไม่ใช่พี่ท่าน หนังบางทีอาจจะไม่ดีขนาดนี้ ความสามารถการแสดงนี่ยอดเยี่ยมระดับเกินอธิบายขอรับ เล่นบทไหนได้หมด ซ้ำยังลื่นไหลตลอดด้วย อย่างฉากที่วิคเตอร์จำเป็นต้องมารู้ว่ากำเนิดการศึกในบ้านเมืองเขา แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมานี่ยอดเยี่ยมอย่างแรงขอรับ ดูแล้วนี่อดอินกับเขามิได้แบบเดียวกัน มันทำให้พวกเราเห็นอกเห็นใจชายคนนี้ขึ้นมาในบัดดลอย่างยิ่งจริงๆ
ศิลปินคนอื่นๆก็ไม่มีปัญหาครับผม แสดงก้าวหน้าทุกคน โดยยิ่งไปกว่านั้นพี่ Stanley Tucci ที่มาเล่นเป็นแฟรงค์ ดิ๊กสัน แม้ว่าจะมองร้ายจนกระทั่งออกนอกหน้าไปหน่อยก็ตาม แต่ว่าพฤติกรรมของพี่เอ็งก็สะท้อนคนพวกที่ถูกใจอ้างกฎอ้างกฎระเบียบแบบสุดขั้ว ซึ่งที่จริงแล้วกฎที่ต้องปฏิบัติเป็นหนทางที่ควรปฏิบัติครับผม แม้กระนั้นไม่ใช่ประกาศิตที่ไม่อาจจะเปลี่ยนได้ พวกเราบางทีอาจยืดหยุ่นบ้างในบางช่วงบางช่วง เวลาเดียวกันบทพี่เขาก็สะท้อนถึงการเอาชีวิตรอด ทำนองว่าเอาให้ฉันรอด เอาฉันไม่กำเนิดปัญหาก็เพียงพอ แม้กระนั้นคนอื่นๆจะตรากตรำมากน้อยแค่ไหนก็เรื่องของเขา อะไรพวกนี้
นี่แหละ ดูหนังให้บันเทิงใจมันจำต้องทราบว่าคนใดทำ ใดๆในหนังพี่ Spielberg ที่มันมองสุดขั้วประหลาดหรือย้ำเสมอๆจนกระทั่งผิดสังเกต ก็ขอให้ทราบไว้ครับผมว่าผุ้ดูแลเขามานะจะบอกอะไรบางสิ่งกับพวกเราแล้วโน่น นอกจากนั้นเรื่องเกี่ยวกับบิดาๆลูกๆอันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพี่เขาก็ยังมีอยู่อย่างเดิม
การเสียดสี : ถ้าเกิดดูดีๆแบบตั้งอกตั้งใจ สปิลเบิร์กมีความอุตสาหะที่จะเสียดสีหลายๆอย่าง
ไม่ว่าจะคือเรื่องของท่าอากาศยาน ภาครัฐ แนวทางการทำงานของข้าราชการ รวมทั้งเรื่องที่มนุษย์เราจำต้องประพฤติตามกฎอย่างเคร่งขัดจนกระทั่งลืมความเป็นมนุษย์ บางโอกาสมันเกิดเรื่องยากนะที่จะกระทำตามกฎเกณฑ์ให้ถูกเสมอ หากเอาใจใส่คนอื่นๆเหมือนกับเอาใจใส่ตัวเองบ้างก็จะมองเห็นถึงเหตุรวมทั้งผลว่าเพราะเหตุใดเขาถึงจะต้องทำข้อห้าม บ้างอย่างผมว่าไม่มีความจำเป็นต้องให้ถูกเสมอหรอก หากความถูกต้องแน่ใจมันทำให้คนอีกจำนวนไม่น้อยตรากตรำ อะไรที่ปลดปล่อยได้ก็ควรปลดปล่อยมันอยู่ที่สิ่งที่มีความต้องการของแต่ละข้าง
การสำรวจเพิ่ม: ความมากมายหลายด้านวัฒนธรรมแล้วก็ภาษา: ดูหนัง The Terminal (2004) ด้วยรักและมิตรภาพ เต็มเรื่อง บ่งบอกถึงอย่างงดงามถึงความมากมายหลายด้านวัฒนธรรมและก็ภาษาที่มีอยู่ในท่าอากาศยานนานาประเทศ ความเกี่ยวข้องระหว่างผู้โดยสารแล้วก็บุคลากรท่าอากาศยานจากประเทศต่างๆย้ำให้มองเห็นถึงความมั่งมีของวัฒนธรรมระดับนานาชาติและก็ภาษาที่อยู่ด้วยกันในพื้นที่เดียวกัน
Cinematic Imagery: ภาพยนตร์หัวข้อนี้พรีเซ็นท์ความสามารถพิเศษด้านการถ่ายหนังของ Janusz Kamiński ซึ่งเป็นคนที่ร่วมงานกับ Steven Spielberg เสมอๆ การแสดงภาพตึกผู้โดยสารในท่าอากาศยาน ตั้งแต่งานประจำวันของวิคเตอร์ไปจนกระทั่งบรรยากาศที่คึกคก ช่วยเพิ่มความน่าไว้ใจรวมทั้งน่าสนใจให้กับภาพยนตร์
การดึงดูดผู้ชมทั่วทั้งโลก: “The Terminal” มีเสน่ห์แบบสากลที่ก้าวผ่านขอบเขตแล้วก็ต้องใจผู้ชมทั้งโลก ธีมของความยืดหยุ่น มิตรภาพ รวมทั้งการค้นหาความรักเกี่ยวเนื่องกับผู้คนจากภูมิหลังแล้วก็วัฒนธรรมที่นานัปการ
ท่าอากาศยานเป็นเครื่องหมาย: ตึกผู้โดยสารท่าอากาศยานปฏิบัติหน้าที่เป็นเครื่องหมายที่ความเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหว และก็การบรรจบกันของชะตาชีวิต มันแสดงถึงพื้นที่จำกัดที่นักแสดงถูกยับยั้งจากชีวิตธรรมดาชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็บางทีอาจกำเนิดประสบการณ์ความเคลื่อนไหวได้
พลังที่ความธรรมดา: “The Terminal” ชี้ให้เห็นว่าเรื่องราวที่อบอุ่นและก็น่าสนใจไม่จำเป็นที่จะต้องมีฉากที่ยิ่งใหญ่แล้วก็สลับซับซ้อนเสมอ ความง่ายๆของภาพยนตร์ในทางของฉากแล้วก็สถานที่ตั้งเน้นถึงพลังของการเล่าเรื่องและก็จุดสำคัญของผู้แสดงที่ได้รับการพัฒนามาอย่างยอดเยี่ยม
โดยสรุป “The Terminal” (2004) – “ด้วยรักแล้วก็มิตรภาพ”
ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่น่าสังเกตซึ่งเข้าถึงหัวใจผู้ชมด้วยการเล่าเรื่องที่อบอุ่นใจและก็การสำรวจธีมต่างๆยกตัวอย่างเช่น ความยืดหยุ่น มิตรภาพ แล้วก็จิตวิญญาณของคนเรา ความสมจริงสมจังของภาพยนตร์หัวข้อนี้ นักแสดงที่เกี่ยว รวมทั้งการบรรยายถึงภาวะความเป็นคนทำให้ภาพยนตร์หัวข้อนี้แปลงเป็นเพชรนิลจินดาที่ภาพยนตร์ที่อบอุ่นและก็สร้างแรงดลใจ “The Terminal” ปฏิบัติหน้าที่เป็นเครื่องเตือนสติว่าหากแม้ในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและก็ท้าที่สุด ความรัก มิตรภาพ รวมทั้งจิตวิญญาณของคนเราที่ไม่ท้อถอยก็สามารถส่งแสงออกมาได้
สรุป : มันเป็นหนังฟิวกู๊ดที่จะทำให้ท่านยิ้มแล้วยิ้มอีก แต่ว่าตอนสุดท้ายหลายๆอย่างไม่ถูกใจผมเยอะแค่ไหนหนัก คนใดที่กำลังเครียดต้องการหาอะไรมองเพื่อบรรเทา ชี้แนะประเด็นนี้เลย
ดูหนัง The Terminal (2004) ด้วยรักและมิตรภาพ เต็มเรื่อง เป็นภาพยนตร์เก่าที่ใช้ทุนสร้างเพียงแต่ 60 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเพียงแค่นั้นแต่สามารถคว้ารายได้ทั่วทั้งโลกไปส่งถึง 219 ล้านเหรียญอย่างยิ่งจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถเอารางวัลได้อีกเยอะมาก เพราะเหตุว่ามันเป็นภาพยนตร์ซึ่งสามารถสร้างความสนุกสนานร่าเริงให้กับคนรับดูได้อย่างดีเยี่ยม
แม้ว่าจะเล่าราววนเวียนอยู่แค่เพียงในตึกผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานในนิวยอร์กแค่นั้น นอกนั้นยังแอบแฝงแง่คิดอะไรเอาไว้มากมายก่ายกอง เกิดเรื่องราวของหนุ่มที่โชคร้ายกลับมิได้ท้อต่อชะตาชีวิตของตัวเองรวมทั้งดำเนินชีวิตในทุกๆวันให้สุขสบายสูงที่สุดเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำเป็น และก็พวกเราจะได้มีความเห็นว่ามีเรื่องมีราวดีๆเกิดมากมายท่ามกลางเรื่องเลวร้ายที่เขาจำต้องพบเจอ
ยังไม่รวมถึงใจความสำคัญประเด็นการเสียดสีสังคมเกี่ยวกับการดูหมิ่นเหยียดหยามเชื้อชาติอีกด้วย โดยการให้นักแสดงข้าราชการท่าอากาศยานที่เป็นชาวอเมริกาผิวขาว
โดยแท้จริงมานะขับไล่ไสส่งผู้ที่ไม่ใช่คนขาวหรือผู้ที่เป็นชาวอเมริกาออกมาจากประเทศของตน นอกจากนั้นบรรดาเพื่อนฝูงของผู้แสดงหลักของพวกเรานั้นยังไม่ใช่ชาวอเมริกาอะไร ไม่มีผู้ใดรู้อย่างแท้จริงว่าเป็นความอยากได้ของผู้กำกับที่จะสื่อถึงหัวข้อดังกล่าวข้างต้นหรือเป็นเพียงความบังเอิญ แม้กระนั้นมันก็สามารถสะท้อนถึงสังคมในสมัยนั้นได้อย่างดีเยี่ยม
สปีลเบิร์ก ได้แรงบัลดาลจิตใจจากความจริงของ เมอร์ฮัน ค้างริมี่ แนสเซปรี่ ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในท่าอากาศยานชาร์ล เดอ โกลด์ กรุงปารีส จากเหตุทางด้านการเมืองในประเทศประเทศอิหร่าน รวมทั้งหนังสือเดินทางหาย ก็เลยไม่อาจจะเดินทางถัดไปยังประเทศอื่นได้ มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์
สรุปว่าหนังมองสบายนะครับ ไม่เครียด ดูแล้วมีหวังชีวิตขึ้นมากมาย ตัวหนังนับว่าออกมาดีแล้วก็โทนของฉากต่างๆไปในทำนองเดียวกัน มีความกลมกล่อมกลมกลืนในระดับที่พอดี ทั้งยังการดำเนินเรื่อง ผู้แสดง ดนตรี และก็ผลสรุปก็จัดว่ากลมกล่อมละมุนละไมไม่ค่อยมีรสแปร่งปร่ามาให้แหม่งลิ้น
สาระดีๆมีอยู่ไม่น้อยนะครับ ไม่ว่าจะหัวข้อการดำเนินชีวิต การรู้จักให้ความคาดหมายตนเองบ้าง การยินยอมถอยในบางครั้ง และก็การยืดยืดไม่ถอยในบางโอกาส อย่างที่บอกน่ะล่ะ หนังพี่ Spielberg นั้นไม่เคยมีคำว่าโปร่งกว้าง ล้วนมีอะไรให้เก็บไปคิด จะต่างก็แค่มีมากมายหรือมีน้อยเพียงแค่นั้น – อันที่ถูกใจมากมายๆในประเด็นนี้เป็นเรื่องตราประทับที่ได้โอกาส 50/50 นี่แหละขอรับ เป็นการมองโลกด้านบวกของวิคเตอร์ที่น่าดึงดูดทีเดียว