the killing fields 1984 ผลิตขึ้นมาจากสถานะการณ์จริงของผู้รายงานข่าว ผู้ครอบครองรางวัล Pulitzer Prize, Sydney Schanberg ที่อยู่ในกรุงพนมเปญขณะเขมรแดงเข้ายึดอำนาจ แล้วก็ Dith Pran ผู้สื่อข่าวเชื้อชาติเขมร ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในค่ายกักขังนานถึง 4 ปี, การดูหนังประเด็นนี้ด้วยความเข้าใจว่า ‘เกิดขึ้นจริง’ มันช่างเจ็บปวดรวดร้าวสาหัส “จำต้องมองให้ได้ก่อนตาย” หนังหัวข้อนี้ แล้วก็ Come and See (1985) เป็นสองเรื่องที่ผมไม่ต้องการที่จะอยากส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้มองเห็นข้อเท็จจริงที่เหี้ยมโหดจากการกระทำของคน
แม้กระนั้น ‘เรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตาย’ ผมเสนอแนะหนังหัวข้อนี้ไว้ให้ ‘จำต้องดูซิตาย’ เพื่อไม่ให้ ‘ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำรอย’ ผมเรียกการรบเขมรแดงนี้ว่า ‘การสู้รบของคนโง่เขลา’ จุดกำเนิดมีเหตุที่เกิดจากกลุ่มของผู้คนที่เรียกตัวเองว่า นักปราชญ์กรุงปารีส (Paris Student Group) นิสิตฝั่งซ้ายชาวเขมร ที่ได้รับทุนเพื่อการศึกษาจากรัฐบาลเขมรให้ไปเรียนรู้ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในตอนทศวรรษที่ 50s นำโดยซาลอธ ซาร์ (Saloth Sar) ที่เปลี่ยนแปลงชื่อเป็นนายพล พต (Pol Pot)
ด้วยกันตั้งขึ้นกรรมวิธีระบอบคอมมิวนิสต์ ลัทธิ Marxism–Leninism ของตัวเองขึ้น มีอุดมการณ์เพื่อสร้างสังคมรูปแบบใหม่ ใช้การเปลี่ยนแปลงแบบเบ็ดเสร็จโดยชนชั้นใช้แรงงานเป็นตัวขับ the killing fields 1984 ข้างหลังเดินทางกลับประเทศ ได้มีการเก็บรวบรวมราษฎรในชื่อ เขมรแดง (Khmer Rouge, Red Khmer), และก็ได้กระทำเปลี่ยนแปลงทำลายรัฐบาลลอน นอล (Lon Nol) ใน พุทธศักราช2518 (1975) ก่อให้เกิดการจัดตั้งระบอบเขมรระบบประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) ในเวลาถัดมา
the killing fields 1984
อย่างแรกที่เขมรแดงปฏิบัติภายหลังจากได้รับอำนาจหมายถึงการกวาดต้อนพสกนิกรเขมรทั้งสิ้นจากกรุงพนมเปญและก็เมืองสำคัญอื่นๆมาบังคับให้ทำการเพาะปลูกแล้วก็ใช้แรงงานด้วยกันในพื้นที่บ้านนอก นิสิตบัณฑิต หมอ วิศวกร ผู้มีปัญญา นักแสดง ว่ากันว่าคนสวมแว่นสายตาที่ดูราวกับว่ามีความรู้ความสามารถ เป็นภัยต่อความยั่งยืนมั่นคง ดูแลยาก จะถูกฆ่าตายอย่างไร้เหตุผล, ความประพฤติปฏิบัติดังที่กล่าวผ่านมาแล้วนี้ ทำให้พลเมืองชาวเขมรจำต้องเสียชีวิตจากการเช็ดกฆ่า ถูกบังคับใช้แรงงาน
รวมทั้งความยากแค้น เป็นปริมาณโดยประมาณ 850,000 ถึง 3 ล้านคน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของพลเมืองที่เสียชีวิตต่อปริมาณสามัญชนเขมรทั้งปวงในเวลานั้น (ราว 7.5 ล้านคน ใน พุทธศักราช 2518) ถือว่าเป็นระบบการปกครองของเขมรแดงเป็นเลิศในระบอบที่มีความร้ายแรงที่สุดในตอนคริสต์ศตวรรษที่ 20(ย่อหน้านี้ถ้าเกิดมีบกพร่องอย่างใด แจ้งปรับแต่งได้ครับ) ไทยพวกเรามีความเห็นว่าตอนรัฐบาลของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชได้ให้การสนับสนุนเขมรแดง
จัดส่งอาวุธที่ได้รับมาจากจีนสนับสนุนเขมรแดง (หนทำอย่างงี้เพื่อสานความเชื่อมโยงกับจีน) มีความเห็นว่ามีการให้ทหารไทยแต่งชุดเสมือนเขมรแดงเพื่อร่วมทำศึกกับรัฐบาลเขมรด้วย ซึ่งเพียงพอเขมรแดงยึดพนมเปญเสร็จ ท่านคึกฤทธิ์ก็ประกาศเกื้อหนุนนายพล พตให้เป็นผู้นำประเทศเกือบจะในทันทีเขมรแดงดูแลเขมรเป็นระยะเวลา 4 ปี ใน พุทธศักราช 2522 (คริสต์ศักราช1979) ได้ถูกรุกรานจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ระบอบคอมมิวนิสต์)
ทำให้จำเป็นต้องถอยร่นข้ามเขตมาลี้ภัยอยู่ประเทศไทย ว่ากันว่านายพล พต ก็หลบภัยไทยมาอยู่ประเทศไทยตอนนั้นด้วย ซึ่งทหารไทยและก็เขมรแดงก็ด้วยกันต้านระบอบคอมมิวนิสต์อย่างเต็มกำลัง แม้กระนั้นนี่เป็นตอนจบของเขมรแดงในเขมร ที่ถูกยึดอำนาจคืนโดยเวียดนาม, การเคลื่อนไหวของเขมรแดงยังคงมีอยู่เรื่อยซึ่งดำเนินมาถึง พุทธศักราช 2539 (คริสต์ศักราช 1996) นายพล พต หัวหน้าขั้นตอนก็เลยเลิกลักษณะการทำงานของเขมรแดงลงอย่างเป็นทางการ the killing fields 1984 ภายหลังที่มีการเซ็นชื่อในกติกาสันติ
นายพล พต ถึงมรณกรรมตอนวันที่ 15 เดือนเมษายน พุทธศักราช 2541 (คริสต์ศักราช 1998) โดยที่ยังมิได้รับการไตร่ตรองคดีฆาตกรรมหมู่พสกนิกรในตอนที่เขมรแดงยังมีอำนาจอยู่อะไร ซึ่งกว่าจะเริ่มมีการวินิจฉัยได้ ก็ลากยาวไปถึงพ.ค. พุทธศักราช 2549 (คริสต์ศักราช 2006) ศาลสูงของเขมรได้วินิจฉัยว่าหัวหน้าเขมรแดงอีกทั้ง 30 คนมีความผิด ได้รับโทษจำตารางตลอดชีพ
” ประวัติศาสตร์จากหน้าหนังสือพิมพ์ “
เป็นภาพยนตร์อีกประเด็นที่มีความคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้มอง ที่ได้รับทราบประวัติศาสตร์ที่ผมปล่อยปละละเลยไป ด้วยเหตุว่าธรรมดาผมจะมีความสนใจการรบใหญ่ๆในอาเซียนก็รำลึกถึงแต่ว่าการศึกเวียดนามเป็นหลัก จนกระทั่งลืมมองดูผลพวงแล้วก็เรื่องตลอดที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้านบริเวณเวียดนามไปเลย เขมรเองก็จำเป็นต้องพบเจอความเหี้ยมโหดของการรบด้านในที่ได้ผลสำเร็จพวงมาจากการศึกด้านนอกอย่างการสู้รบเวียดนามไปด้วย ในช่วงปลายของการศึกเวียดนาม ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผู้ผลักดันและสนับสนุนรัฐบาลข้างระบบประชาธิปไตยเขมร(ข้างต้านลัทธิคอมมิวนิสต์) ได้ถอนกำลังออกมาจากเขมรเนื่องด้วยสถานะการณ์การศึกในเวียดนามที่อเมริกาก็กำลังจะถอนกำลังด้วยเหมือนกัน ข้างเขมรแดงก็เลยได้ทำประกาศความมีชัยแล้วก็เขายึดเมืองหลวงของเขมรในทันทีทันใด ทำให้สถานะการณ์ในกรุงพนมเปญเวลานี้ไม่ดีถึงขีดสูงสุดสำหรับพสกนิกรเขมรที่เป็นหัวยุคใหม่ มีความสามารถ แล้วก็เกื้อหนุนฝ่ายรัฐบาล
เปรียบเสมือนการเช็ดกลอยแพที่เลือกไม่ถูกฝั่งอย่างไรแบบนั้น รัฐบาลที่นำโดยกองกำลังเขมรแดงเริ่มแนวความคิดการปกครองตามแนวความคิดระบบคอมไม่วนสต์ด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานพลเมืองออกมาจากเมืองหลวงสู่ต่างจังหวัดใช้ประโยชน์แรงงานทำทำการเกษตร ตามแนวความคิดของความเท่าเทียมกันไม่มีชนชั้น ทุกคนเป็นเพื่อนกัน ยึดหลักสังคมพึ่งจะพาตัวเองแค่เพียงให้มีข้าวรับประทานก็อยู่แล้ว รัฐบาลเขมรแดงเลิกล้มระบบเงิน การธนาคาร และก็หน่วยงานเอกชนทั้งผอง ให้ทุกคนจะต้องช่วยเหลือกันปฏิบัติงาน
เพื่อจะมีของกินรับประทาน ผู้ใดที่ต้าน หรือมองมีความเข้าใจก็จะถูกฆ่า เนื่องจากว่าจะเป็นตัวขวางอุดมการณ์การของการรีเซตสังคมเขมรโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นดังนั้นเองเป็นจุดกำเนิดของเหตุทุ่งฆ่าที่ถูกประเมินการฆ่าล้างเชื้อสายสามัญชนไปไม่น้อยกว่า5 แสน – 2 ล้านคน หากแม้ตัวหนังจะอาศัยเรื่องราวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเพียงแค่บริบทแต่ว่าก็ทำให้พวกเราอดที่จะท้อใจและก็สลดใจไปกับเหตุการร์ดังที่กล่าวมาข้างต้นมิได้เลยจริงๆยิ่งกว่านั้น
หนังยังซ่อนเร้นหลักสำคัญของการจิกกัดแนวทางด้านการเมืองของ Nixon ผ่านความเชื่อมโยงของสองผู้สื่อข่าวต่างเชื่อชาติ Sydney Schanberg ผู้รายงานข่าวชาวอเมริกาแล้วก็ ล่ามชาวเขมร Dith Pran เขาทั้งคู่พยามเปิดเผยความชั่วช้าสารเลวร้ายของการทำศึกออกมาสู่สาธารณะโลกอย่างถึงที่สุด ขนาดสถานะการณ์ในเขมรชั่วร้ายมากมายๆแล้ว พวกเขาก็ยังปักหลักทำข่าวสารจนกระทั่งพวกเขาเกือบจะโดนจับไม่เคยรู้จำนวนกี่ครั้ง
จนกระทั่งสุดท้ายรัฐบาลเขมรแดงนั้นบีบให้คนต่างประเทศ ออกมาจากประเทศไปให้หมดทำให้ซิดนีย์และก็นายพรานจำต้องแยกจากกันทั้งๆที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามากมายสำหรับเพื่อการทำข่าวสาร ซิดนีย์ต้องทิ้งนายพรานไว้ภายในเขมรในพบเจอโชคชะตาเช่นพลเมืองผู้อื่นทั้งคู่ก็ราวกับผู้แทนของอเมริกาแล้วก็เขมร ที่ถูกอเมริกาใช้ประโยชน์เสร็จรวมทั้งจากไป ปลดปล่อยให้เขมรจำเป็นต้องพบเจอเคราะห์กรรมของตัวเองไป มันช่างน่าสังเวชจริงๆอารมณ์ของหนังค่อนข้างจะทำให้พวกเราอินไปกับเรื่องราวได้อย่างสะดวกสบาย
มันมองมุ่งมั่นเสมือนพวกเราได้มองสารคดีที่เผยความเป็นจริงทั้งยังข้างหน้าและก็เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุทุ่งฆ่านี้อย่างยิ่งจริงๆตอนก่อนหน้านี้ มีนักอ่านหลายๆท่าน ส่งข้อความมาหาผมทางเฟซบุ๊กประมาณว่าอยากที่จะให้เอ๋ยถึงหนังเรื่อง The Killing Fields สักนิดสักหน่อย เนื่องจากดูเหมือนกับเหตุการณ์อย่างยิ่ง ผมก็ยังคลุมเคลือว่า ที่ท่านใช้คำว่า “กับเหตุการณ์” นั้น เหมาะยังไง หรือท่านคิดว่า ตำนานที่ “ทุ่งฆ่า” จะย้อนมาอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งดูอย่างไร ก็เป็นได้ยากอยู่หรอกขอรับ
เพราะเหตุว่าทหารของไทยพวกเรา ยังไงเสีย ก็อาจไม่ปลดปล่อยให้คนไหนกันแน่มาทำให้ชาวไทยเสียเลือดเสียเนื้อกันมากมายกันแน่ๆ แม้กระนั้นที่ว่าจะ “เสียความรู้สึก” นั้นก็อีกหนึ่งเรื่องเอาเถอะ ไหนๆก็เรียกร้องกันมาแล้ว ผมก็เลยขอพักหนังโรงไว้สักอาทิตย์ ซึ่งที่ผ่านๆมา ก็มีภาพยนตร์ไทยอย่าง “เท่ง โหน่ง ผ้าจีวรบิน” เข้าฉาย ซึ่งจะว่าไป ไม่มองไม่เอ่ยถึงก็คงจะไม่เสียหาย แต่ว่ามองเห็นน้องๆคนจำนวนไม่น้อยไปดูมาแล้ว พูดว่า “เสียหายมากมายเลยนะครับพี่” อ้าว เป็นถ้าอย่างนั้นไป
ประวัติศาสตร์เป็นเลิศในสาเหตุของพล็อตเรื่องในรูปภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยม
ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใดแล้วก็นําเสนอในต้นแบบใดถึงภาพยนตร์จะเป็นสื่อที่มักมีลักษณะที่ย้ำการให้ความบันเทิงจรรโลงใจแต่ว่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความร้ายแรงที่มองตรงกันข้ามกับการเป็นความเบิกบานไปได้ถ้าเกิดไม่ใช่ผู้นิยมสิ่งนั้นก็ถูกนําเสนอในแบบภาพยนตร์เหมือนกันภาพยนตร์เรื่อง The Killing Fields ที่เผยแพร่ตั้งแต่คริสต์ศักราช 1984
ก็เป็นอีกหนึ่งตัวบทที่ถูกผลิตขึ้นมาเสนอความร้ายแรงในขณะที่เป็นภาพแล้วก็ในส่วนเรื่องราวที่ก็เชื่อมโยงถึงสถานะการณ์จริงสถานที่จริงไปจนกระทั่งบุคคลที่มีอยู่จริงด้วยประวัติศาสตร์ผ่านตัวบททางด้านวัฒนธรรมอย่างภาพยนตร์แบบนี้ก็เลยมีพลังสำหรับเพื่อการติดต่อทางด้านการเมืองมากมายโดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเป็นการเล่าถึงเรื่องราวที่เพิ่งจะผ่านไปเพียงแต่ไม่นานองค์ประกอบความเชื่อมโยงทางอําที่นาจแล้วก็หน้าที่สถานะของคนที่iเกี่ยวพันกับเรื่องราวก็ยังคงมีความร่วมยุคกันอยู่การนําเสนอเรื่องราวแบบนี้ก็เลย
สามารถทำให้เกิดผลกระทบทางด้านการเมืองตามมาได้ไม่ว่าจะร้ายแรงเท่าไรภาพยนตร์ในที่นี้ก็เลยมิได้เป็นเพียงแต่ภาพสะท้อนของวิชาความรู้หรือการพยายามสร้างความรับทราบแบบหนึ่งต่อเรื่องความร้ายแรงนี้แม้กระนั้นเป็นทั้งยังเครื่องไม้เครื่องมือที่ขับระบบความเกี่ยวเนื่องทางด้านการเมืองอีกด้วยโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามต่อให้เป็นภาพยนตร์ที่สร้างโดยบริษัทจากสหราชอาณาจักรแต่ว่าผู้ดําเนินเรื่องหลักในรูปภาพยนตร์กลายเป็นผู้สื่อข่าวจากสหรัฐฯ
รวมทั้งผู้สื่อข่าวชาวเขมรซึ่งเรื่องราวก็มาจากประสบการณ์จริงของคนทั้งคู่ที่มีมากรรมวิธีนําเสนอหลักของภาพยนตร์หัวข้อนี้ก็เลยเป็นการเล่าเรื่องราวที่ซ้อนทับกันอยู่อีกทั้งเรื่องสังคมในระดับสังคมที่ใหญ่ขึ้นไปรวมทั้งระดับเฉพาะผู้เดียวซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมอย่างเช่นในระดับประเทศสถานะการณ์ด้านการเมืองดังเช่นว่าการสู้รบการศึกหรือรอยแผลทางด้านจิตใจแล้วก็ทางร่างกายที่เป็นประสบการณ์ด้วยกันของคนจํานวนมากไปจนกระทั่งระดับระหว่างชาติที่ในเรื่องประกอบไปด้วยฉากหลักอยู่ที่ราชอาณาจักรกัมพูชา
แต่ว่าก็มีส่วนที่บ่งบอกถึงถึงเหตุการณ์ทางด้านประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย the killing fields 1984 อย่างเช่นในช่วงท้ายของภาพยนตร์ที่ผู้ดําเนินเรื่องหลักสองคนอยู่คนละที่กันและก็พบเจอชะตาชีวิตที่แตกต่างทําให้บรรยากาศที่แตกต่างในหลายมุมมองถูกเทียบจากการนํามาเสนอควบคู่กันนอกจากนี้ยังเจอฉากสถานทูตจากต่างแดนและก็กระทำการทางด้านการเมืองหลายแบบอย่างที่เกิดขึ้นในระดับระหว่างชาตินี้และก็อาทิเช่นในระดับเฉพาะตนซึ่งแต่ละคนก็มีประสบการณ์ส่วนตัวที่เกิดขึ้น
จากองค์ประกอบล้นหลามทำขึ้นมาอย่างชีวิตด้านที่ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆในสังคมตั้งแต่ความเชื่อมโยงแบบสหายความเชื่อมโยงกับครอบครัวตลอดไปจนกระทั่งความเชื่อมโยงระหว่างเฉพาะผู้เดียวกับสถาบันใหญ่เป็นต้นว่าหน่วยงานที่ตนขึ้นตรงต่อแล้วก็กับเมืองฯลฯกรรมวิธีการนําเสนอถึงผู้อยู่ในเหตุการณ์ความร้ายแรงแบบเป็นหน่วยเล็กหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของเหตุด้านการเมืองที่มีพลังอําท้องนาจก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่กว้างใหญ่แบบนี้มีลักษณะคล้ายกับการมอบ “ความเป็นมนุษย์” คืนให้แก่ “เหยื่อ”
ผ่านเรื่องราวประสบการณ์ของแต่ละคนมากมายไปกว่าเพียงแค่การมองมองเห็นพวกเขาเป็นฝูงชนในฐานะเหยื่อแม้การทําลายความเป็นคนเป็นเหตุสําคัญก่อนที่จะกำเนิดความร้ายแรงการคืนความเป็นคนให้พวกเขาก็เลยเป็นการแสดงความนับถือแล้วก็เป็นการมอบเกียรติยศที่หายไปเมื่อครั้งที่พวกเขาถูกแลเห็นเป็นศัตรูมากยิ่งกว่าเพื่อนมนุษย์สำหรับการกระทําความร้ายแรงต่อพวกเขาหรือก็คือเป็นการแสดงความนับถือต่อพวกเขาไปด้วย
แนวทางนําเสนอเรื่องแบบที่เป็นเหมือนประวัติบุคคลของคนสองคนภายใต้อีกมิติในสังคมการบ้านการเมืองที่ทับทับกันอยู่นี้ก็เลยส่งผลให้เกิดการมองมองเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แบบ “มีเนื้อมีหนัง” มากเพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงแค่เหยื่อที่มีหน้าตาเพียงแต่คนที่ได้รับผลพวงจากสถานะการณ์นี้ราวกับๆกันไปหมดเรื่องราวของผู้รายงานข่าวทั้งคู่มิได้เป็นความชมรมส่วนตัวที่นําเสนอขึ้นเพียงเท่านั้นด้วยความเป็นชาวเขมรแล้วก็ความเป็นอเมริกันของทั้งคู่ภาพที่ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกรอบ
ข้างหลังปรานหรือผู้รายงานข่าวชาวเขมรหนีออกมาจากพื้นที่ที่เกิดความร้ายแรงได้แล้วก็โผเข้ากอดกันเป็นหลักฐานแสดงความเกี่ยวเนื่องของทั้งสองที่ปรับปรุงไปๆมาๆกจนกระทั่งขั้นช่วยเหลือกันไว้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วความข้องเกี่ยวนี้ถูกขับเน้นย้ำขึ้นไปอีกเมื่อเปรียบเทียบกับบริบทที่ทั้งสองพบเจอซึ่งไม่เหมือนกันกับพวกเขามากมายเป็นการทิ้งระเบิดสู่เขมรโดยประเทศสหรัฐอเมริกาความข้องเกี่ยวของพวกเขาก็เลยตั้งอยู่บนคุณประโยชน์หรืออุดมการณ์บางสิ่งบางอย่างด้วยกันที่ไม่ใช่ความเป็นชาติแต่ว่าก็เช่นกันที่ค่าที่ถูกนําเสนอผ่านสองผู้ดําเนินเรื่อง
พ.ค. พุทธศักราช 2516 สาธารณรัฐเขมรทำศึกทำสงครามต้านกรุ๊ปเขมรแดง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการคั่นซึมตามทางโฮจิมินห์ของเวียดกงในการศึกเวียดนาม โดยมีสหรัฐฯให้การช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาล “ดิธ ปราน” ล่ามรวมทั้งผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ชาวเขมร เดินทางมารอรับ “ซิดนีย์ เฉลียงเบิร์ก” ผู้รายงานข่าวคนประเทศอเมริกาจากหนังสือพิมพ์เดียวกัน ที่ท่าอากาศยานโปศาสนาเชนตงในกรุงพนมเปญ
แม้กระนั้นด้วยเที่ยวบินที่ชักช้าไป 3 ชั่วโมงแล้วก็เกิดเหตุด่วนขึ้น ปรานก็เลยรีบออกไปพบข่าวสารและไม่ได้อยู่รอคอยรับเฉลียงเบิร์ก เมื่อเฉลียงเบิร์กเข้าพักที่เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในกรุงพนมเปญแล้ว ปรานก็เลยเข้ามาส่งข่าวกับระเบียงเบิร์กว่า เรือบินบี-52 ของอเมริกาทิ้งระเบิดลงที่เมืองเนียะเลือง ในเขตอำเภอเพียมรอคอยก์ จังหวัดพงแวง imi1688 ด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นฐานปฏิบัติการของเขมรแดง ทั้งคู่ก็เลยไปทำข่าวสารในสถานที่เกิดเหตุ โดยลักลอบเดินทางไปด้วยเรือของตำรวจน้ำในที่นั้น
ทั้งคู่ได้เจอกับภาวะเมืองที่ถูกทำลายจนถึงราบเป็นหนังกลอง รวมทั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บรวมทั้งเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อทั้งคู่จะถ่ายรูปประกอบข่าวสาร ทหารของรัฐบาลได้กัดกันไม่ให้พวกเขาถ่ายรูปรวมทั้งจับตัวไปซักถาม ก่อนได้รับการปล่อยตัวในเวลาถัดมาไม่นานเมื่อกองทัพสหรัฐอเมริกา นำเฮลิคอปเตอร์พานักข่าวสารมาทำข่าวสารจากที่ฝ่ายรัฐบาลรวมทั้งอเมริกาได้จัดฉากไว้เพื่อปิดบังเรื่องจริงที่เนียะเลือง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มีอาการชานเบิร์กรู้สึกไม่ชอบใจต่อพฤติกรรมของข้างสหรัฐอเมริกา เป็นอย่างมาก แต่ว่าก็ไม่สามารถที่จะจะทำอะไรได้
ในปี พุทธศักราช 2518 กรุงพนมเปญใกล้จะเสียให้แก่ข้างเขมรแดง รัฐบาลสหรัฐอเมริกา
เลยสั่งปิดสถานทูตและก็ย้ายถิ่นชาวเมืองสหรัฐอเมริกา ในเขมร เฉลียงเบิร์กได้ช่วยย้ายถิ่นปรานและก็ครอบครัวให้ไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แม้กระนั้นตัวระเบียงเบิร์กเองต้องการจะติดตามมองเรื่องราวจนกว่าจะถึงที่สุด ปรานก็เลยตกลงใจส่งเพียงแต่ครอบครัวของตัวเองไปที่สหรัฐอเมริกา แล้วก็อยู่ช่วยระเบียงเบิร์กทำข่าวสารที่พนมเปญถัดไป the killing fields 1984 เมื่อกองทัพเขมรแดงบุกเข้ามาถึงกรุงพนมเปญ ทั้งยังเฉลียงเบิร์กรวมทั้งปรานก็ได้ไปทำข่าวสารการสังสรรค์ชัยรวมทั้งความสงบของเขมรแดง
พวกเขาได้เจอกับ “อัล ร็อกออฟ” แล้วก็ “จอน สเวน” เพื่อนฝูงผู้สื่อข่าวคนประเทศอื่น ซึ่งได้พาปรานกับระเบียงเบิร์กไปดูอีกด้านหนึ่งของกรุงพนมเปญที่ยังคงปรากฏภาพของความร้ายแรงจากข้างเขมรแดงในวันนั้น ทั้งผองได้ถูกทหารเขมรแดงจับตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งขณะกำลังตรวจสอบโรงหมอที่รับรักษาคนบาดเจ็บจากการสู้รบ ปรานได้เพียรพยายามสนทนากับหัวหน้าทหารเขมรแดงอยู่นานหลายชั่วโมงเพื่อขอให้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวผู้สื่อข่าวคนตะวันตกทุกคนกระทั่งเสร็จ
ภายหลังจากถูกปล่อยตัวปล่อยใจแล้ว ปรานและก็กรุ๊ปผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติทุกคนกลับมาในกรุงพนมเปญอีกที ทั้งผองเก็บของใช้ของสอยของตัวเองออกมาจากอพาร์เม้นท์เท่าที่จะทำเป็น รวมทั้งเดินทางออกชานเมืองตามคำสั่งของเขมรแดง ซึ่งสั่งให้พลเมืองทุกคนทิ้งเมืองและก็ย้ายถิ่นไปสู่บ้านนอก พวกเขาไปอยู่รวมกันที่สถานเอกอัครราชทูตประเทศฝรั่งเศสประจำกรุงพนมเปญ อันเป็นสถานที่ที่คนต่างชาติทั้งสิ้นแล้วก็ชาวเขมรที่อยากหลบภัยมาอยู่รวมกัน
ทั้งสิ้นได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์สำหรับในการพบเจอบุคคลสำคัญของรัฐบาลเก่า ดังเช่นว่า สีสุวัตถิ์ สิริมตะ เป็นกรุ๊ปท้ายที่สุดก่อนจะถูกเขมรแดงจับไป กรุ๊ปของเฉลียงเบิร์กบากบั่นหาทางช่วยทำให้ปรานสามารถย้ายถิ่นออกมาจากเขมรได้ โดยสเวนช่วยเลียนแบบหนังสือเดินทางของสหราชอาณาจักร ส่วนระเบียงเบิร์กกับร็อกออฟช่วยถ่ายภาพปรานสำหรับติดในหนังสือเดินทาง โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ทุกสิ่งเท่าที่จะหาได้ แม้กระนั้นที่สุดและไม่เป็นผลสำเร็จ เหตุเพราะภาพถ่ายของปรานใช้การไม่ได้ ปรานก็เลยจำเป็นต้องอยู่ในเขมรภายใต้การปกครองของเขมรแดงถัดไป
ภายหลังจากระเบียงเบิร์กออกมาจากเขมรแล้ว เขาได้ให้การช่วยเหลือครอบครัวของปรานซึ่งย้ายถิ่นจากเขมรมาก่อนหน้านั้นรวมทั้งพักพิงอยู่ที่ซานฟรานซิสโก และก็มานะวิงวอนจากหน่วยงานด้านมนุษยธรรมต่างๆทั่วทั้งโลกสำหรับเพื่อการตามหาปราน ส่วนปรานได้เปลี่ยนเป็นแรงงานกฏเกณฑ์ภายใต้การปกครองของ”อังการ์” หรือรัฐบาลเขมรแดง จำเป็นต้องดำรงชีวิตอย่างแร้นแค้นแสนร้ายแรง รวมทั้งจำเป็นต้องแกล้งทำตัวเป็นคนอ่านหนังสือไม่ออก
เพื่อเอาชีวิตรอดจากคำบัญชาฆ่าผู้รอบรู้ซึ่งถือได้ว่าชนชั้นศัตรูของรัฐบาลใหม่ เขาเกือบจะเสียชีวิตจากการลงทัณฑ์รวมทั้งถูกทารุณเนื่องจากว่าแอบมองดเลือดจากคอโครับประทานด้วยเหตุว่าทนความแร้นแค้นไม่ไหว โชคยังดีที่เขาได้รับการปล่อยตัว ปรานก็เลยอุตสาหะแอบหนีออกมาจากค่ายกักขัง แต่ว่าก็ถูกเขมรแดงจับตัวได้ที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งกลางทาง เขาได้เจอกับหลุมฝังศพของผู้ที่ตายจากการเช็ดกเขมรแดงฆ่าด้วยข้อกล่าวหาคิดคดทรยศชาติจำนวนหลายชิ้นด้วย
ที่สหรัฐอเมริกา ในปี พุทธศักราช 2519 เฉลียงเบิร์กได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากวิธีการทำข่าวสารสงครามกลางเมืองเขมร เขาได้อุทิศรางวัลนี้ให้แก่ปรานด้วย ในงานฉลองคืนนั้น เฉลียงเบิร์กได้พบกับร็อกออฟขณะเข้าสุขา เขาโทษว่าเฉลียงเบิร์กมิได้มานะอย่างเต็มเปี่ยมสำหรับการหาทางช่วยเหลือปรานออกมาจากเขมร คำบอกเล่านี้ทำให้มีอาการชานเบิร์กโทษตนเองว่า ปรานยังอยู่ในเขมรก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะให้ปรานอยู่ตรงนั้นด้วยความเห็นแก่ได้
ที่เขมร ภายหลังจากปรานโดนจับจับตัวอีกที the killing fields 1984 เขาก็ได้ดำเนินงานเป็นคนดูแลให้กับลูกชายของ “พัด” หัวหน้าเขมรแดงของหมู่บ้านที่คุมตัวปรานไว้ พัดให้ความเชื่อใจแก่ปรานสุดกำลังแม้ว่าจะรู้ดีว่าปรานมีความรู้และมีความเข้าใจทั้งยังภาษาอังกฤษรวมทั้งภาษาประเทศฝรั่งเศสก็ตาม เมื่อพัดมีความเห็นว่าเหตุการณ์ของรัฐบาลเขมรแดงชั่วร้ายลงจากการแบ่งฝักแบ่งข้างข้างในพรรครวมทั้งการรุกรานของเวียดนาม เขาก็เลยฝากฝังลูกชายไว้ให้ปรานดูแลก่อนจะถูกทหารเขมรแดงดัวยกันฆ่า
ในตอนที่กองทัพเวียดนามใกล้จะรุกเข้ามาถึงหมู่บ้านของพัด ปรานได้พาลูกชายของพัดแล้วก็ผู้ต้องขังชายผู้อื่นอีก 4 คน หลบซ่อนออกมาจากเขมรโดยมุ่งขึ้นไปทางชายแดนทางเหนือ กลางทางเพื่อนร่วมทางสามคนได้แยกกันไปอีกทางหนึ่ง ส่วนผู้ต้องขังที่เหลือกับลูกชายของพัดเสียชีวิตจากกับดักระเบิดที่ฝังไว้ภายในป่า ปรานก็เลยรอดตายจนกระทั่งมาถึงศูนย์ผู้ลี้ภัยรอบๆชายแดนไทย-เขมร เพียงผู้เดียวเมื่อระเบียงเบิร์กรู้ข่าวสารว่าปรานยังมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่เป็นอันตรายดี เขาก็เลยรีบแจ้งข่าวให้ครอบครัวของปรานทราบ และก็รีบเดินทางมาเมืองไทยเพื่อเจอกับปรานที่ศูนย์ผู้หนีภัย ทั้งคู่ได้เจอกันอีกทีในปี พุทธศักราช 2522 อันเป็นเวลา 4 ปีภายหลังจากการพลัดพรากในเหตุพนมเปญแตกคราวนั้น